ในโลกนี้ทุกๆ คนประสบกับความลำบากและความทุกข์หลากหลาย การลักพาตัวเด็กๆ การใช้ความรุนแรงในครอบครัว การเสพติด ภัยพิบัติ อุบัติเหตุ และ โรคร้าย คือตัวอย่างของสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในโลกนี้อยู่เสมอ
บางคนเชื่อว่าองค์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดบงการทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเกิดขึ้นในโลกนี้รวมถึงความชั่วร้ายทุกอย่างด้วย คนแบบนี้เชื่อว่าพระองค์ให้ความชั่วเกิดขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายลับที่พวกเราไม่สามารถรู้ได้ พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือความต้องการของพระองค์รวมถึงความชั่วที่พูดถึงด้านบนแล้ว
แต่ผมเชื่อว่าความเชื่อแบบนั้นไม่ตรงกันกับการเปิดเผยของพระองค์ในพระคำของพระองค์ ในพระคัมภีร์พระองค์ต่อต้านบาป ความตาย และความชั่วร้ายอย่างต่อเนื่อง พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นต้นกำเนิดของชีวิตและความสมบูรณ์ที่แท้จริง จุดประสงค์ที่พระองค์มีมาตลอดคือฟื้นฟูและสมานชีวิตที่แตกสลายและแหลกลาญ ทำไม? เพราะแก่นแท้ของพระองค์คือความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวซึ่งพร้อมเสียสละสิทธิของตัวเองเพื่อรักคนอื่น
หากว่าพระองค์ดีตลอดเวลาและเกลียดความทุกข์และความชั่วจริง แล้วทำไมพระองค์ถึงไม่หยุดและขจัดมันไปให้พ้นล่ะ? นี่คือคำถามของหลายๆ คนที่ประสบความทุกข์ในชีวิตของตัวเอง ทำไมพระองค์ไม่ปกป้องฉันตอนถูกทำร้าย? ทำไมพระองค์ไม่รักษาลูกของฉันก่อนลูกเสียชีวิต? ทำไมพระองค์ไม่หยุดอุบัติเหตุนั้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้น?
คริสเตียนบางคนตอบว่า พระองค์สามารถหยุดความชั่วได้แต่พระองค์ให้มันเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์บางอย่างที่เรายังไม่รู้ซึ่งในที่สุดแล้วจะเกิดผลดีกับเรา
ผมเป็นพ่อของลูกสาวสามคน ถ้าผมมีความสามารถที่จะปกป้องพวกเขา ก็ไม่มีวันที่ผมจะให้พากเขาถูกข่มขืนเพื่อเรียนรู้บทเรียนชีวิตจากประสบการณ์นั้น ผมรู้ว่าพระองค์คือพ่อที่ดีกว่าผมอีก ดังนั้นการล่วงละเมิด ความชั่ว และความทุกข์ย่อมไม่ใช่ความต้องการของพระองค์แน่นอน เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่าคำตอบแบบเดิมๆ คือคำตอบที่ไม่รับได้ ถ้าพระองค์ดีจริงและมีความสามารถหยุดความชั่ว พระองค์จะหยุดความชั่วอย่างแน่นอน
แต่เพราะความทุกข์ยังอยู่ นั่นหมายถึงว่าสมมุติฐานข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้ไม่ถูกต้อง คือ พระองค์ไม่ดี หรือว่า พระองค์ไม่สามารถหยุดความชั่วได้ หลายคนที่ประสบความทุกข์อย่างมากและเชื่อคำตอบเดิมก็หยุดเชื่อว่าพระองค์ดี พวกเขาหันหลังหนีจากพระองค์ที่สามารถหยุดความชั่วได้แต่ไม่ทำเพราะจุดประสงค์ลึกลับ
โชคดีพวกเราไม่ต้องทำตามนั้น พระคำของพระองค์เปิดเผยว่าพระองค์คือพ่อที่ดีซึ่งต้องการให้สิ่งที่ดีกับพวกเราตลอดเวลา นั้นแน่ ดังนั้นก็หมายถึงว่าข้อที่สองไม่ถูกต้อง ในพระคัมภีร์เราค้นพบว่าพระองค์ไม่สามารถทำบางอย่างได้
“พระเจ้าไม่สามารถโกหก” ทิตัส 1:2 “พระองค์ไม่สามารถถูกหลอกล่อได้” ยากอบ 1:13 “พระองค์ไม่เคยเหนื่อยหรือหมดเรี่ยวแรง” อิสยาห์ 40:28 ผมชอบข้อต่อไปเป็นพิเศษ “ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังคงซื่อสัตย์อยู่ดี” เปาโลเขียนต่อไป “เพราะพระองค์จะทำตัวขัดกับอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์เองไม่ได้” 2 ทิโมธี 2:13
พระเจ้าขัดธรรมชาติของตัวเองไม่ได้ หนทางที่พระองค์ปฏิบัติกับเราในโลกนี้เป็นไปตามธรรมชาติและอุปนิสัยของพระองค์เสมอ
เพื่อที่จะเข้าใจสิ่งซึ่งพระเจ้าทำไม่ได้เพราะสิ่งนั้นขัดธรรมชาติของพระองค์พวกเราต้องเข้าใจธรรมชาติของพระองค์ก่อน ลักษณะหลักของพระองค์คืออะไรบ้าง แก่นแท้ของพระองค์เป็นอย่างไร
พระเยซูคือการเปิดเผยสูงสุดของพระเจ้า (ฮีบรู 1:3) เมื่อเรามองดูพระเยซูแล้วเราเห็นได้ว่าพระเจ้าเป็นยังไง พระเยซูผู้แสดงออกถึงลักษณะของพระเจ้าได้อย่างชัดเจนที่สุด ไม่มีวันที่พระเจ้าจะไม่เหมือนพระเยซู พระเจ้าเหมือนกับพระเยซูมาเสมอและตลอดไป
ความรักเคยเป็นศูนย์กลางของชีวิตและคำสอนของพระองค์ พระเยซูเปิดเผยพระเจ้าเป็นเหมือนพ่อที่มีใจรักเอ็นดูลูก ยกโทษตลอดเวลา หาสิ่งที่หายไปจนพบ ทำให้คนเป็นทาสเป็นอิสระ รักษาใจที่แตกสลาย และต่อต้านความชั่วทุกรูปแบบ พระเยซูเปิดเผยให้เห็นว่าพระเจ้าเกลียดความรุนแรงและไม่บังคับเรา แต่ใช้ความรัก เมตตา และการยกโทษแทนความรุนแรง ความกดดัน และ ความกลัว
1 ยอห์น 4:8 ยืนยันว่าพระเจ้าคือความรัก แก่นแท้ของพระองค์คือความรัก คำภาษากรีกในข้อนี้คืออากาเป พระเจ้าคือพระเจ้าแห่งความรักอากาเป ใน 1 โครินธ์ 13 เปาโลนิยามอากาเปว่า
”ความรักนั้นก็อดทนนาน มีเมตตากรุณา ไม่อิจฉาริษยา ไม่โอ้อวด ไม่หยิ่งจองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของคนอื่น ความรักไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำชั่วแต่ยินดีกับความจริง ความรักปกป้องเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังเสมอ และทนต่อทุกอย่างเสมอ ความรักไม่มีวันสูญสิ้นไป แต่การพูดแทนพระเจ้าจะมีวันเลิกรา การพูดภาษาแปลกๆก็จะมีวันหยุดลง พรสวรรค์ที่มีความรู้พิเศษจากพระเจ้าก็จะมีวันเลิกรา” 1 โครินธ์ 13:4-8 (เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับความรักอากาเป้ในบทความนี้)
ถ้าเราอย่ากรู้ว่าพระเจ้าเป็นยังไง เราสามารถอ่านข้อความข้างต้นใหม่ โดยอ่าน “พระเจ้า” แทนคำว่า “ความรัก” เช่น พระเจ้าอดทนนาน พระเจ้ามีเมตตากรุณา…
ข้อ 6 บอกว่า ความรักไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำชั่ว พระเจ้าเกลียดความชั่วทุกอย่าง พระเจ้าไม่ใช่ดลบันดาลความชั่วและความทุกข์เลย พระองค์ทำงานตลอดเวลาแก้ภัยของความชั่วและขัดความชั่วในโลกนี้
ดังนั้นทำไมพระองค์ไม่ได้หยุดความชั่วทั้งหมด เพราะพระองค์ทำไม่ได้ ทำไมถึงไม่ได้ เพราะลักษณะของพระองค์คือความรักแบบอากาเป
ความรักอากาเปไม่ใช่บังคับ ไม่บีบรัดแต่ทำงานผ่านการสร้างอิทธิพลที่ดีต่อคนอื่นโดยความรัก การเปิดเผยความจริง และการยกโทษ พระเจ้าต้องการให้เรารักพระองค์ ความรักแท้ต้องมีอิสระในการตัดสินใจ เราเลือกหรือปฏิเสธพระองค์ได้อย่างจริงใจ นี่คือทางเลือกที่แท้จริง มันไม่ใช่ของปลอม
เพราะฉะนั้นพระองค์ไม่บังคับหนทางแห่งความรักบนคนอื่น ถ้าทำแบบนี้ พระองค์ก็ทำตรงข้ามลักษณะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทำสิ่งนั้นไม่ได้ จึงพระองค์หยุดความชั่วไม่ได้ พระองค์ไม่สามารถหยุดคนที่ทำร้ายคนอื่นได้ พระองค์ไม่สามารถหยุดคนขับรถเมามากๆ ได้ พระองค์ไม่สามารถหยุดสามีรุนแรงและติดเหล้าได้
แม้ว่าพระองค์ไม่สามารถบังคับใครได้ แต่พระองค์ก็ยังต่อต้านความชั่วตลอดเวลา พระองค์ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำได้เพื่อต่อต้านความชั่วร้ายในโลกนี้
แม้ว่าพระเจ้าหยุดความชั่วไม่ได้ แต่พระองค์ต่อต้านมันเสมอ เราได้เรียนรู้แล้วว่าเสรีภาพในการตัดสินใจของมนุษย์คือปัจจัยหลักอย่างหนึ่งซึ่งกำหนดขนาดอิทธิพลที่พระเจ้าทำในโลกนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าแต่งตั้งเราให้เป็นคนดูแลโลกนี้ พระเจ้าสร้างพวกเราทุกคนเพื่อปกครองและดูแลโลกนี้
นั้นหมายถึงว่าสภาพแย่ของโลกคือผลจากวิธีการดูแลโลกของพวกเรา ถ้าพูดตามจริงพวกเราไม่ได้ดูแลโลกอย่างดีเพราะฉะนั้นพวกเรากำลังเก็บเกี่ยวผลจากการกระทำของเรา ตัวอย่างเช่นหลายภัยพิบัติเกิดขึ้นเพราะพวกเราทำร้ายโลก (เช่น ภาวะโลกร้อน ถุงพลาสติก…)
หนทางหล้กซึ่งพระเจ้าทำงานในโลกนี้คือผ่านการส่งเสริมคนให้ใฝ่สิ่งดีโดยเปิดเผยความจริงให้พวกเขา ช่วยพวกเขาให้เห็นความผิดของตัวเองได้ และ ชี้นำการตัดสินใจที่ดีโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทำงานโดยกระตุ้นสำนึกคนให้ใช้เสรีภาพในการตัดสินใจในทางที่ดี
เพราะฉะนั้นพระเจ้าต้องการใช้มนุษย์เพื่อต่อต้านความชั่วและดลบันดาลความดีในโลกนี้ พระเจ้าไม่สามารถหยุดความชั่วคนเดียวแต่พระองค์ต้องการร่วมมือกับพวกเรา การกระทำและการเลือกของเราสำคัญมากเพราะมันมีผลพวงที่ตามมาจริง ๆ พระเจ้าไม่ใช่เหตุให้ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแต่พวกเราทุกคนส่งอิทธิพลต่อชีวิตของคนอื่น ถ้าพวกเราเลือกทำสิ่งที่ดี พวกเราก็นำพรมาสู่ชีวิตคนอื่น แต่ถ้าเลือกทำสิ่งที่ไม่ดีก็พวกเราก็นำคำแช่งสาปมาสู่ชีวิตคนอื่น
แม้ว่าพระเจ้าจะไม่สร้างความทุกข์ทรมานและความชั่ว พระองค์ก็พยายามเปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดีอยู่เสมอ พระเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนความชั่วให้กลายเป็นความดี แม้ว่าพระองค์จะไม่ได้ก่อเรื่องชั่วร้ายและไม่สามารถหยุดยั้งให้ไม่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรก พระองค์ยังต้องการทำให้เรื่องชั่วร้ายนันเป็นประโยชน์กับเรา พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างสิ่งสวยงามจากขี้เถ้าได้เสมอ พระองค์ทำให้สิ่งที่ตายไปแล้วกลับมีชีวิต พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เก็บอึและแปรสภาพเป็นปุ๋ย พระองค์ไม่ได้ทำให้พี่น้องของโยเซฟเกลียดชังและพยายามฆ่าโยเซฟ แต่พระองค์ใช้สถานการณ์ชั่วร้ายนั้นเพื่อประโยชน์ของทั้งประเทศประเทศหนึ่ง
พระเจ้าไม่ได้ทำให้ผู้ชายคนนั้นตาบอดตั้งแต่เกิด (ยอห์น 9:3) แต่พระเยซูใช้ความชั่วร้ายนี้เพื่อเปิดเผยพลังอำนาจของพระองค์ เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเปิดใจต่อพระเจ้าและฟังคำแนะนำและสิ่งที่พระเจ้าพูด พระองค์ก็สามารถทำงานและเริ่มนำการรักษาของพระองค์มา เมื่อผู้คนเปิดใจรับพระเจ้า พระองค์สามารถเริ่มมีอิทธิพลในทางที่ดีต่อพวกเขา และใช้พวกเขาให้เป็นพรแก่ผู้อื่นได้ พระองค์ต้องการอวยพรผู้คนเสมอเพื่อให้พวกเขาเป็นพรแก่ผู้อื่น พระพรของพระเจ้ามักให้มาเพื่อเป็นประโยชน์กับคนจำนวนมากเสมอ ไม่ใช่สำหรับประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
เหตุใดคริสเตียนจึงไม่หายเป็นปกติเมื่ออธิษฐาน? เป็นเพราะพวกเขามีบาปแอบแฝงในชีวิตหรือไม่? ไม่เลย ไม่ได้หมายความอย่างนั้น โลกนี้ซับซ้อนกว่าที่เราคิด ดังที่เราได้เห็นแล้ว ปัจจัยต่างๆ มากมายมีอิทธิพลต่อวิธีการและความเป็นไปได้ของงานของพระเจ้าในโลกนี้ ในขณะที่ผู้ป่วยอาจทุ่มเทอย่างเต็มที่กับพระเยซู ปัจจัยอื่นๆ อาจทำให้การรักษาไม่หาย
มนุษย์ที่พยายามเข้าใจปัจจัยต่างๆ ทั้งหมดที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของพระเจ้าในโลกนี้ ก็เหมือนอัศวินในยุคกลางที่พยายามเข้าใจว่าสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตทำงานอย่างไร เราไม่สามารถหยั่งรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถวางใจได้ว่าพระเจ้านั้นดีเสมอ พระองค์ไม่ก่อให้เกิดความชั่ว แต่พระองค์ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อปกป้องเราและขจัดความชั่ว เราสามารถเข้าใจได้ว่าความสามารถของพระองค์ในการเอาชนะความชั่วร้ายในโลกนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราเป็นพันธมิตรกับพระองค์มากแค่ไหนและเราเปิดตัวเองเพื่อเป็นมือและเท้าของพระองค์ในโลกนี้มากเพียงใด
โรม 8:28 เป็นภาพที่สวยงามซึ่งสรุปสิ่งที่เราพูดถึงข้างต้น สมัยก่อนมักแปลไว้ดังนี้
เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
การแปลแบบนี้ถือเป็นการแปลที่ไม่ดีด้วยสาเหตุหลายประการ ประการแรก มันทำให้มนุษย์อยู่เฉยๆ พระเจ้าเป็นผู้นำมาซึ่งความดีไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม แต่หลายคนไม่เคยมีประสบการณ์ว่าสิ่งดีจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ชั่วร้ายได้ ในทางกลับกันพวกเขาต้องทนรับผลจากความชั่วร้ายหรือความอยุติธรรมที่พวกเขาประสบมาตลอดชีวิต ประการที่สอง มันจำกัดการกระทำของพระเจ้าไว้แค่สำหรับชีวิตของคนที่รักพระเจ้า การกระทำของพระเจ้าไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่รักพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงรักเราในขณะที่เรายังเป็นศัตรูของพระองค์ พระองค์ทำงานในชีวิตของคนที่ยังต่อต้านพระองค์ (ตัวอย่าง: ชีวิตของเปาโล) พระองค์ทำงานในทุกชีวิตเท่าที่จะพระองค์ทำได้ แล้วเราจะแปลข้อความนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไร?
United Bible Society (UBS) ได้จัดพิมพ์หนังสือคู่มือสำหรับนักแปลพระคัมภีร์โดยเฉพาะ เพื่อให้พวกเขามีความรู้ที่จำเป็นทั้งหมดที่เกี่ยวกับข้อความต้นฉบับ เพื่อที่จะตัดสินใจได้อย่างดีว่าจะแปลอย่างไร หลังจากอธิบายข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับข้อความและเปรียบเทียบวิธีต่างๆ ในการแปลข้อความแล้ว UBS จะเสนอแนะคำแปล
ตามคู่มือของ UBS การแปลโรม 8:28 ที่ดีควรจะเป็น:
“เราทราบดีว่าในทุกประสบการณ์ที่เรามี พระเจ้าจะทำให้เกิดผลดีกับเราที่รักพระองค์”
หรือ
“เราทราบดีว่าพระเจ้าทรงทำงานร่วมกับเราที่รักพระองค์เพื่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นไปในทางที่ดี”
การแปลแบบหลังนี้สอดคล้องกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เราพูดถึงก่อนหน้านี้ ประการแรก เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่สามารถเปลี่ยนสิ่งร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ ประการที่สอง เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าไม่สามารถทำอย่างนั้นได้เพียงลำพังแต่พระองค์ทำโดยร่วมมือกับเราผู้เป็นลูก ๆ ของพระองค์ ประการที่สาม การแปลอย่างนี้ไม่ได้จำกัดการกระทำด้วยความรักของพระเจ้าไว้เฉพาะสำหรับคนที่รักพระองค์ พระเจ้าไม่เคยทำชั่วกับเรา แต่พระองค์ทรงเมตตาเราเสมอ พระเจ้าร่วมมือกับเราในการต่อต้านและเอาชนะความชั่วร้ายโดยเปลี่ยนขี้เถ้าให้เป็นมงกุฎที่สวยงามโดยการคั้นเอาสิ่งดีให้ปรากฏจากความชั่ว ระดับความสามารถของพระเจ้าในการหยุดยั้งความชั่วร้ายนั้นขึ้นอยู่กับอิทธิพลอื่นๆ เสมอ (สิ่งต่างๆ ในโลกที่มองไม่เห็น เสรีในการตัดสินใจของทุกคน…) พระเจ้าไม่สามารถหยุดยั้งความชั่วร้ายเพียงลำพังได้ แต่พระองค์ทำงานอยู่เสมอและร่วมมือกับเราเสมอเพื่อสร้างความดี
สรุป: คำถามแรกคือทำไมพระเจ้าไม่หยุดยั้งความชั่วร้าย คำตอบที่เราพบคือ เพราะพระองค์ทำไม่ได้ พระองค์ทำไม่ได้เพราะพระองค์ไม่สามารถต่อต้านธรรมชาติของพระองค์ได้ ธรรมชาติของพระองค์คือความรักแบบอากาเปที่ให้อิสระและไม่บังคับ แต่พระเจ้าทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อเอาชนะความชั่วร้ายและความทุกข์ทรมานในโลกนี้ แต่ระดับความสามารถของพระองค์ที่จะทำงานในโลกนี้ได้รับอิทธิพลและถูกจำกัดได้โดยอิสระในการตัดสินใจของทุกคน พระเจ้าต้องการร่วมมือกับเราเสมอในการเปลี่ยนขี้เถ้าเป็นมงกุฎที่สวยงามและเปลี่ยนความตายเป็นชีวิต
บทความที่น่าสนใจอื่นๆ
ใส่ความเห็น